Performance ดีแต่พลังใจหมด แค่ปรับมุมคิดผ่าน Social Wellbeing องค์กรก็เปลี่ยนได้ทั้งระบบ”

ในหลายองค์กร เรามักวัด “ผลงาน” (Performance) ด้วยตัวเลข ยอดขาย และผลลัพธ์ปลายทางแต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “พลังใจ” ของคนทำงาน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนผลงานที่แท้จริงพนักงานบางคนยังสร้างผลงานได้ดี แต่ลึก ๆ กลับรู้สึกหมดแรง ไม่อยากตื่นมาทำงาน ไม่อินกับเป้าหมายองค์กรอีกต่อไปนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ Burnout แต่คือ “ความไม่เชื่อมโยง” ระหว่างคนกับทีม ซึ่งสามารถแก้ได้ผ่านการวัด Social WellbeingSocial Wellbeing คืออะไร?
คือการประเมิน “สุขภาวะทางสังคม” ของพนักงาน เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และความมั่นใจว่า “เสียงของตนเองมีค่า”ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อแรงจูงใจในการทำงาน
ทำไมองค์กรถึงต้องใส่ใจ?
Performance ที่ยั่งยืน = พลังใจ + การยอมรับ
พนักงานที่เก่งแค่ไหน หากรู้สึกว่า “ไม่ถูกเห็น” หรือ “ไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม” ก็มีแนวโน้มจะหมดไฟเร็วกว่าคนทั่วไป
องค์กรที่ดีต้องฟัง “เสียงเงียบ” ให้เป็น
ไม่ใช่ทุกคนจะพูดออกมาเมื่อรู้สึกแย่ การมีเครื่องมืออย่าง Social Wellbeing Assessment จะช่วยสะท้อนความรู้สึกที่มองไม่เห็น
ทีมที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทำงานได้ดีกว่า
การสื่อสารที่ดี การให้กำลังใจ การช่วยเหลือกันเล็ก ๆ น้อย ๆ สร้างผลลัพธ์มหาศาลในระยะยาว
ตัวอย่างองค์กรที่ใช้แนวคิดนี้
บริษัท Unilever มีโครงการ “Connect for Wellbeing” เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทีมผ่านกิจกรรมและการสำรวจความรู้สึกของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
Google ลงทุนกับพัฒนา Psychological Safety ในทีม เพื่อให้พนักงานกล้าแสดงความเห็น และรู้สึกว่า “ปลอดภัยทางความคิด” ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับ Engagement
แล้วองค์กรของคุณควรเริ่มอย่างไร?
เริ่มจาก วัด Social Wellbeing ผ่านแบบประเมินที่ออกแบบเฉพาะองค์กรใช้ข้อมูล วิเคราะห์เชิงลึก เช่น ใครคือผู้เชื่อมทีม? ใครที่รู้สึกโดดเดี่ยว?วางแผน ปรับวัฒนธรรมองค์กร ด้วยกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์และการฟังเสียงพนักงานแบบไม่เป็นทางการทำอย่าง ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่รายปี
สรุป
Performance ที่ดีอาจไม่เพียงพอ หากหัวใจของพนักงานเริ่มแห้งแล้งการปรับมุมคิดให้ “ทีมงานรู้สึกมีคุณค่า” ผ่านแนวทาง Social Wellbeingคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทั้งองค์กร เปลี่ยนจากการทำงานร่วมกัน มาเป็นการเติบโตไปด้วยกัน