Mental Health Wellbeing Assessment
หลักการและทฤษฎี
Mental Health Wellbeing Assessment คืออะไร?
การประเมินสุขภาวะทางใจ หลักการและเหตุผล
ปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะหมดไฟ กำลังเพิ่มขึ้นในองค์กรไทย แต่ยังขาดการประเมินอย่างเป็นระบบสุขภาวะทางใจ (Mental Health Wellbeing) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน และคุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กร การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี รวมถึงความคาดหวังที่สูงขึ้น ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มแรงงานทั่วโลกรายงานจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) และผลสำรวจของสถาบันต่างประเทศ เช่น Deloitte และ McKinsey ชี้ให้เห็นว่า พนักงานจำนวนมากประสบกับภาวะทางจิตใจที่ไม่สมดุล ขาดพลังในการทำงาน และไม่สามารถพูดคุยหรือขอความช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ความเครียดที่ไม่ได้รับการดูแลยังนำไปสู่ปัญหาทางร่างกาย การลาป่วยบ่อย การขาดงาน การตัดสินใจผิดพลาด และการลาออกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ในบริบทขององค์กรไทย การดูแลสุขภาวะทางใจยังคงเป็นเรื่องใหม่และมีความเข้าใจที่จำกัด หลายองค์กรยังไม่มีระบบในการประเมินหรือวัดระดับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเป็นระบบ หรือไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือเมื่อตรวจพบความเสี่ยง
บริการ Mental Health Wellbeing Assessment จึงถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้องค์กรสามารถ “เข้าใจ” และ “จัดการ” สุขภาวะทางใจของบุคลากรได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุม และไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว โดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการวิจัยเชิงจิตวิทยา พร้อมการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงสถิติ เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงและออกแบบการสนับสนุนที่ตรงจุด
เป้าหมายของการประเมินนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อ “ตรวจวัด” แต่เพื่อสร้างความตระหนักรู้ เปิดพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องจิตใจ สร้างกลไกป้องกัน และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อสุขภาวะจิตที่ดีอย่างยั่งยืน
องค์กรที่สามารถดูแลสุขภาพจิตของพนักงานได้อย่างเป็นระบบ จะสามารถรักษาคนเก่ง ลดต้นทุนจากการลาออกและลาป่วย และเสริมสร้างพลังการทำงานที่ยั่งยืนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์
ประเมินสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเป็นระบบ
ใช้เครื่องมือที่ผ่านการรับรอง เพื่อเข้าใจระดับสุขภาวะทางใจในบริบทขององค์กรระบุความเสี่ยงและกลุ่มเปราะบาง
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทั้งในระดับบุคคล กลุ่ม และองค์กร เพื่อหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ความวิตกกังวล หรือภาวะหมดไฟออกแบบมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสมและตรงจุด
ใช้ข้อมูลที่ได้ในการวางแผนกิจกรรมหรือมาตรการด้าน Wellbeing ที่ตอบโจทย์ความต้องการจริงของพนักงานแต่ละกลุ่มส่งเสริมความตระหนักรู้และวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจมนุษย์
เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้พนักงานรู้จักตนเอง พูดคุยเรื่องสุขภาพจิตได้อย่างสร้างสรรค์ และเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์นำผลประเมินไปบริหารบุคลากรเชิงกลยุทธ์
ช่วยให้ HR และผู้บริหารมีข้อมูลที่เข้าใจพนักงานในมิติจิตใจ เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการที่ยั่งยืน ลดความเสี่ยงจากปัญหาด้านพนักงาน
แผนการดำเนินงาน
ระยะที่ 1: การเตรียมความพร้อม (Preparation Phase)
- ประชุมกับผู้บริหารและทีม HR เพื่อกำหนดเป้าหมายของการประเมิน
- วิเคราะห์บริบทองค์กร วัฒนธรรม และลักษณะพนักงาน เพื่อออกแบบเครื่องมือที่เหมาะสม
- ออกแบบแผนการสื่อสารภายในเพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือจากพนักงาน
- เตรียมเครื่องมือประเมิน เช่น
- แบบประเมินความเครียด
- แบบประเมินภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)
- แบบประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น (เช่น DASS-21, WHO-5, หรือแบบเฉพาะที่ออกแบบตามบริบท)
ระยะที่ 2: การเก็บข้อมูล (Assessment Phase)
- ดำเนินการประเมินผ่านช่องทางที่เหมาะสม (ออนไลน์ / On-site) โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย
- เปิดช่องทางให้คำปรึกษาแก่พนักงานที่ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมในระหว่างหรือหลังการประเมิน
- เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ (จากแบบประเมิน) และเชิงคุณภาพ (ผ่าน Focus Group หรือ Mini Interview)
ระยะที่ 3: การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล (Analysis Phase)
- วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาวะโดยรวมขององค์กร พร้อมแยกตามกลุ่ม เช่น อายุ หน่วยงาน ระดับตำแหน่ง
- สรุปประเด็นสำคัญที่พบ เช่น ระดับความเครียดสูงในบางแผนก สัญญาณ Burnout ในกลุ่มหัวหน้างาน ฯลฯ
- ระบุ “กลุ่มเปราะบาง” (High Risk) และ “กลุ่มที่ควรส่งเสริม” (Promising Group)
ระยะที่ 4 การจัดทำรายงานและนำเสนอผล (Reporting Phase)
- จัดทำรายงานผลการประเมิน (Mental Health Insights Report)
- จัดทำ Dashboard สำหรับ HR หรือผู้บริหาร (ไม่เปิดเผยตัวตน)
- นำเสนอผลการวิเคราะห์พร้อมข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ให้ผู้บริหาร
- แนะนำแนวทางการดูแลสุขภาวะจิตที่สอดคล้องกับปัญหา เช่น
- การสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety)
- การออกแบบระบบการฟังอย่างลึกซึ้ง (Active Listening System)
ระยะที่ 5 การปรึกษาทางจิตวิทยา (Counseling, Coaching, Training หรือ Teletherapy)
- ดำเนินการให้คำปรึกษาแบบพบหน้าและแบบทางไกล
- จัดฝึกอบรมหลักสูตร Wellbeing – Mental Health
ระยะที่ 6 การติดตามผลและสนับสนุนต่อเนื่อง (Follow-up & Support)
- ติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาวะจิตใน 3-6 เดือน
ให้คำปรึกษารายเดือนแก่ทีม HR หรือ Wellbeing Committee
แผนการดำเนินงาน
ประโยชน์ที่ได้รับ
ระดับบุคคล (Individual Level)
- พนักงานตระหนักรู้ถึงสถานะสุขภาพจิตของตนเอง และสามารถรับรู้สัญญาณความเครียดหรือหมดไฟได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- เข้าถึงแนวทางหรือเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิตตนเองได้เหมาะสม
- รู้สึกไม่โดดเดี่ยว มั่นใจและกล้าพูดคุยเรื่องสุขภาวะทางใจมากขึ้นในที่ทำงาน
ระดับทีมงาน (Team Level)
- หัวหน้างานเข้าใจภาวะทางใจของทีม และสามารถปรับการบริหารให้เหมาะสม
- ทีมมีวัฒนธรรมแห่งความเห็นอกเห็นใจ ลดความขัดแย้งและความตึงเครียด
- เสริม Psychological Safety ทำให้สมาชิกกล้าแสดงออกทางความคิดและอารมณ์
ระดับองค์กร (Organizational Level)
- องค์กรมีข้อมูลสุขภาพจิตที่ใช้ในการวางแผนทรัพยากรบุคคลและกิจกรรม Wellbeing ได้ตรงจุด
- ลดอัตราการลาป่วย ลาออก และปัญหาจากภาวะหมดไฟในองค์กร
- ยกระดับภาพลักษณ์เป็นองค์กรที่ใส่ใจคน (Caring Workplace) และสอดคล้องกับมาตรฐาน ESG/Wellbeing Workplace
สิ่งที่ส่งมอบ
1.รายงานผลและข้อมูลเชิงลึก
- รายงานรวม (Aggregate) และรายงานกลุ่มเสี่ยง
- Executive Summary สำหรับผู้บริหาร
- Dashboard แบบไม่ระบุตัวตน พร้อมกราฟและสถิติ
2.เครื่องมือประเมินสุขภาวะจิตที่เหมาะกับบริบทองค์กร
- แบบประเมิน (เช่น DASS-21, WHO-5, Burnout Scale)
- คู่มือแปลผล / แบบฟอร์ม Feedback / สื่อสำหรับหัวหน้างานและ HR
- แนวทาง Peer Listening หรือ Mental Health Buddy
3.แนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการดูแลต่อเนื่อง
- แผนโปรแกรมดูแล เช่น Coaching, Counseling, Workshop
- แนวนโยบายและระบบสนับสนุน เช่น Wellbeing Committee
- กรอบการสร้าง Psychological Safety ในองค์กร
4.กิจกรรมเสริมความเข้าใจและการมีส่วนร่วม
- จัดอบรม / Session ฟังผลกับ HR
- บริการให้คำปรึกษาเบื้องต้นเฉพาะราย (สำหรับกลุ่มเปราะบาง)