Financial Wellbeing Assessment

Financial Wellbeing Assessment

หลักการและทฤษฎี

Financial Wellbeing Assessment คืออะไร?

การประเมินสุขภาวะทางการเงิน

ความเครียดด้านการเงินส่งผลต่อสุขภาพจิตและสมรรถภาพในการทำงาน พนักงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะการบริหารเงิน

สุขภาวะทางการเงิน (Financial Wellbeing) หมายถึง ความสามารถในการจัดการรายรับรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงทางการเงิน และมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตตามเป้าหมายโดยไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลมากเกินไป ในบริบทขององค์กรยุคใหม่ สุขภาวะทางการเงินของพนักงานไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่มีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความเครียด ความผูกพันกับองค์กร และคุณภาพชีวิตโดยรวม

งานวิจัยระดับสากล เช่น PwC Employee Financial Wellness Survey ชี้ให้เห็นว่า พนักงานที่ประสบกับปัญหาด้านการเงินมักมีภาวะเครียดสูง ขาดสมาธิในการทำงาน ลางานบ่อย และมีแนวโน้มลาออกสูงกว่า พนักงานที่มีสุขภาวะทางการเงินที่ดี นอกจากนี้ยังส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและทัศนคติในการใช้ชีวิตประจำวัน

ในบริบทของประเทศไทย พนักงานจำนวนมากมีภาระหนี้ การใช้จ่ายเกินตัว หรือขาดทักษะพื้นฐานในการวางแผนทางการเงิน เช่น การออม การลงทุน และการบริหารความเสี่ยง การขาดความรู้ด้านการเงินอย่างเป็นระบบ ทำให้พนักงานหลายคนไม่สามารถจัดการรายได้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต ส่งผลต่อสุขภาวะโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

บริการ Financial Wellbeing Assessment จึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรเข้าใจสถานะทางการเงินของพนักงานอย่างเป็นระบบ โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว พร้อมทั้งวิเคราะห์พฤติกรรม ความเครียด และแนวโน้มความมั่นคงทางการเงินของบุคลากรในแต่ละกลุ่ม ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานในการออกแบบโปรแกรมส่งเสริมสุขภาวะทางการเงินที่ตรงจุด เช่น เวิร์กช็อปวางแผนการเงิน การให้คำปรึกษาเฉพาะราย หรือการสร้างแรงจูงใจในการออมและลงทุน

การดูแลสุขภาวะทางการเงินของพนักงาน ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงจูงใจ ความไว้วางใจ และความผูกพันกับองค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์องค์กรในฐานะ “นายจ้างที่ใส่ใจชีวิตพนักงานแบบองค์รวม”

วัตถุประสงค์

  • ประเมินสถานะและพฤติกรรมทางการเงินของพนักงานอย่างเป็นระบบ
    รวมถึงความสามารถในการจัดการรายรับ-รายจ่าย หนี้สิน และการออม
  • สำรวจผลกระทบทางจิตใจจากปัญหาการเงิน
    เช่น ความเครียด ความกังวล และผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ชีวิต
  • จำแนกกลุ่มพนักงานตามระดับความมั่นคงทางการเงิน
    เพื่อออกแบบแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มที่พร้อมพัฒนา
  • วางแนวทางการพัฒนาและโปรแกรมส่งเสริมทักษะการเงิน
    เช่น Financial Literacy, Investment Planning หรือ Debt Management ที่ตรงตามความต้องการจริง
  • สนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจสุขภาวะทางการเงิน
    เชื่อมโยงกับกลยุทธ์ด้านบุคลากร เช่น Engagement, Talent Retention และ Wellbeing อย่างยั่งยืน

แผนการดำเนินงาน

พนักงานทุกระดับในองค์กร

  • เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ (Operation Level) ที่มีภาระค่าใช้จ่ายประจำสูง และอาจมีข้อจำกัดด้านรายได้
  • พนักงานระดับกลาง (Middle Level) ที่กำลังเผชิญกับภาระหนี้ การผ่อนสินทรัพย์ และการวางแผนชีวิตครอบครัว
  • พนักงานระดับบริหาร ที่ต้องการวางแผนการเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การลงทุน การเตรียมเกษียณ

 ระยะที่ 1: การเตรียมความพร้อม (Preparation Phase)

  • ประชุมร่วมกับผู้บริหารและทีม HR เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต และกลุ่มเป้าหมาย
  • วิเคราะห์บริบทของพนักงาน เช่น โครงสร้างรายได้ อายุงาน ภาระหนี้สินโดยประมาณ (หากมีข้อมูล)
  • ออกแบบเครื่องมือประเมินสุขภาวะทางการเงินให้เหมาะกับระดับพนักงานและบริบทองค์กร เช่น:
    • แบบสอบถามพฤติกรรมการเงิน (Money Behavior)
    • แบบประเมินระดับความเครียดทางการเงิน (Financial Stress Score)
    • แบบประเมินความสามารถในการบริหารจัดการเงิน (Financial Literacy & Readiness)

 ระยะที่ 2: ดำเนินการประเมิน (Assessment Phase)

  • สื่อสารภายในเพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างความมั่นใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
  • เก็บข้อมูลผ่านช่องทางที่เหมาะสม เช่น แบบสอบถามออนไลน์ แบบ On-site หรือ QR Survey
  • เปิดพื้นที่สำหรับผู้สมัครใจในการขอคำปรึกษาเพิ่มเติม (Optional: 1:1 Coaching/Clinic)

 ระยะที่ 3: วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล (Analysis Phase)

  • วิเคราะห์ข้อมูลในมิติที่สำคัญ เช่น
    • ระดับรายได้ต่อพฤติกรรมการใช้เงิน
    • กลุ่มพนักงานที่มีความเครียดทางการเงินสูง
    • ความรู้ทางการเงินในกลุ่ม First Jobber / Mid-career / Pre-retirement
  • จำแนกกลุ่มเป้าหมายตามระดับความพร้อมในการวางแผนทางการเงิน เช่น
    • กลุ่มพร้อมพัฒนา
    • กลุ่มเปราะบาง
    • กลุ่มต้องการการแทรกแซงด่วน
  • สังเคราะห์เป็น “Financial Wellbeing Personas” เพื่อใช้ในการออกแบบโปรแกรมต่อเนื่อง

 ระยะที่ 4: จัดทำรายงานและข้อเสนอแนะ (Reporting & Recommendation Phase)

  • จัดทำรายงานผลการประเมิน พร้อมแนวโน้ม ปัจจัยเสี่ยง และข้อค้นพบ
  • จัดทำ Executive Summary สำหรับผู้บริหาร พร้อมข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ เช่น
    • การอบรม/เวิร์กช็อปเสริมทักษะการวางแผนการเงิน
    • โครงการออมเงินในองค์กร / โปรแกรมช่วยปลดหนี้
    • ช่องทางให้คำปรึกษาทางการเงินโดยผู้เชี่ยวชาญ

แผนการดำเนินงาน

 

ประโยชน์ที่ได้รับ

1.พนักงานมีสติรู้เท่าทันสถานะการเงินของตนเอง และลดความเครียดทางการเงิน
ทำให้สามารถวางแผน ปรับพฤติกรรม และมีพลังใจในการทำงานมากขึ้น

2.เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พูดคุยเรื่องการเงินได้อย่างปลอดภัยและเท่าเทียม
ลดแรงกดดันในทีม และเพิ่มความเข้าใจระหว่างหัวหน้าและลูกทีม

3.องค์กรมีข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบสวัสดิการและกิจกรรมทางการเงินที่ตรงจุด
เช่น โปรแกรมออมเงิน การให้คำปรึกษา หรือแหล่งกู้ดอกเบี้ยต่ำ

4.สนับสนุน Engagement และลดปัญหาเรื้อรัง เช่น ลาป่วย ลาออกจากภาวะกดดันทางการเงิน
เสริมความไว้วางใจและความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร

5.เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้าน ESG และ SDGs พร้อมยกระดับองค์กรสู่ความมั่นคงทางการเงิน
วางรากฐานพัฒนา Financial Literacy และบริหารทุนมนุษย์อย่างยั่งยืน

สิ่งที่ส่งมอบ

  1. รายงานผลการประเมินสุขภาพการเงินพร้อมข้อมูลเชิงลึก
    • รายงานภาพรวม, Executive Summary, กลุ่มเป้าหมาย, บุคลิกการเงิน (Financial Personas)
    • Dashboard สำหรับติดตามผล (แบบไม่ระบุตัวตน)
  2. เครื่องมือประเมินและแบบฟอร์มพัฒนาการเงินส่วนบุคคล
    • แบบประเมินพฤติกรรมการเงิน, Financial Literacy Test, Self-Reflection
    • คู่มือแปลผล + Checklist การวางแผนทางการเงิน
  3. แนวทางพัฒนาและกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมทางการเงิน
    • Roadmap การส่งเสริม Financial Wellbeing
    • จัดอบรม ให้คำปรึกษา การบริหารเงิน/ปลดหนี้
    • Template กิจกรรมรายเดือนแบบมีส่วนร่วม
  4. ระบบติดตามผลและการต่อยอดอย่างยั่งยืน
    • แบบประเมินติดตามผลรายไตรมาส
    • แนวทางสร้างระบบดูแลการเงินในองค์กร + Mentorship

Coaching/Consultation สำหรับ HR หรือผู้บริหาร