จากข้อมูลสู่การลงมือจริงเปลี่ยนผล Employee Survey ให้กลายเป็นกลยุทธ์ Engagement

จากข้อมูลสู่การลงมือจริง เปลี่ยนผล Employee Survey ให้กลายเป็นกลยุทธ์ Engagement

ในโลกของการทำงานยุคใหม่ “ข้อมูล” ไม่ได้มีไว้แค่เก็บ แต่มีไว้เพื่อ “ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” และหนึ่งในข้อมูลที่มีคุณค่ามากที่สุดคือ เสียงของพนักงาน (Employee Voice) เสียงที่สะท้อนความรู้สึก แรงจูงใจ และความผูกพันต่อองค์กร

หลายองค์กรเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามพนักงาน (Employee Survey) อยู่ทุกปี แต่กลับไม่รู้จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลลัพธ์จริง ทั้งที่ข้อมูลชุดนี้สามารถกลายเป็น “เข็มทิศ” สำคัญของการสร้าง Employee Engagement Strategy ที่ขับเคลื่อนทั้งคนและองค์กรไปข้างหน้า

1. จาก “แบบสอบถาม” สู่ “ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าใจคน”

องค์กรชั้นนำอย่าง Google ใช้ Employee Survey เป็นฐานข้อมูลสำคัญในระบบ People Analytics
พวกเขาไม่ได้มองแค่คะแนนความพึงพอใจ แต่เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับพฤติกรรมการทำงานจริง เพื่อหาคำตอบว่า “อะไร” ทำให้ทีมมีประสิทธิภาพสูง และ “อะไร” เป็นสัญญาณของความเหนื่อยล้าในทีม

Google ใช้วิธี “Pulse Check” หรือการเก็บ Feedback แบบสั้น ๆ ทุกเดือน เพื่อให้หัวหน้าและทีม HR เห็นแนวโน้มของอารมณ์ ความรู้สึก และความผูกพันของพนักงานแบบเรียลไทม์

สิ่งที่ได้: คือการมองเห็นสัญญาณก่อนจะสาย ช่วยให้ทีมบริหารเข้าใจคนมากขึ้น และตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น

2. จาก “Insight” สู่ “Action ที่จับต้องได้”

ข้อมูลจะไม่มีค่า ถ้าไม่ถูกแปลงเป็น “การลงมือทำ”
องค์กรอย่าง Unilever คือหนึ่งในตัวอย่างที่นำ Employee Survey ไปใช้ได้อย่างเป็นระบบ

หลังจากเก็บข้อมูลทุกปี Unilever จะสรุปผลออกมาเป็น Engagement Playbook สำหรับหัวหน้างานแต่ละทีม
โดยเน้นให้ “หัวหน้า” เป็นเจ้าของข้อมูล และร่วมกับทีมในการออกแบบแนวทางพัฒนา เช่น

  • ปรับวิธีประชุมให้สั้น กระชับ และมีการ follow-up ที่ชัดเจน
  • จัดกิจกรรม Recognition เล็ก ๆ ภายในทีมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
  • ใช้ผลสำรวจเป็นหัวข้อพูดคุยจริงในการ 1-on-1 meeting

ผลลัพธ์: Engagement score ของ Unilever เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีเดียว และอัตราการลาออกของพนักงานลดลงต่อเนื่อง

3. จาก “รายงานผล” สู่ “วัฒนธรรมการฟังที่ต่อเนื่อง”

องค์กรอย่าง Adobe เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาน่าสนใจ
เดิมทีพวกเขาทำ Employee Survey ปีละครั้ง แต่ต่อมาพบว่าผลลัพธ์เปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะรอถึงปีหน้า จึงเปลี่ยนมาใช้แนวทาง Check-in Conversation — การพูดคุยระหว่างหัวหน้าและลูกทีมทุกเดือน

Check-in นี้อ้างอิงข้อมูลจากผลสำรวจ เพื่อดูพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของทีมอย่างต่อเนื่อง
และสิ่งที่ Adobe ได้คือ “วัฒนธรรมแห่งการฟัง” — ไม่ใช่แค่ระบบประเมิน แต่เป็นการพูดคุยอย่างมีความหมาย

ผลลัพธ์: คะแนน Engagement เพิ่มขึ้นกว่า 30% และ Adobe ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Best Place to Work ต่อเนื่องหลายปี

4. ตัวอย่างองค์กรในไทยที่ขับเคลื่อนจาก Employee Survey

ในประเทศไทยเอง หลายองค์กรเริ่มนำแนวทางนี้มาปรับใช้ เช่น

  • SCG ที่ใช้ผลสำรวจพนักงานมาวิเคราะห์แนวโน้มความสุขในการทำงาน (Employee Well-being Index) และนำไปสู่การปรับโครงสร้างสภาพแวดล้อมสำนักงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของพนักงานยุคใหม่
  • AIS ที่พัฒนา “AIS Employee Voice Platform” ให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นและให้ feedback ได้ตลอดเวลา พร้อมระบบวิเคราะห์คำตอบเพื่อใช้วางกลยุทธ์ด้าน People Experience
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ใช้ข้อมูลจาก Employee Engagement Survey สร้างแผนพัฒนา Culture Transformation เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น

5. จากข้อมูล…สู่การเปลี่ยนแปลงจริงขององค์กร

Employee Survey ไม่ใช่แค่แบบสอบถาม แต่คือเครื่องมือทรงพลังในการสร้าง “วัฒนธรรมการฟัง” ที่มีชีวิต
องค์กรที่เข้าใจ จะมองผลสำรวจเป็น “แผนที่นำทาง” ที่บอกทิศทางของความรู้สึก ความผูกพัน และแรงขับของคนทำงาน

เพราะ “ข้อมูล” ไม่ได้เปลี่ยนองค์กร แต่ “การลงมือฟังและตอบสนอง” ต่างหากที่ทำได้จริง

สรุป

การแปลงข้อมูลจาก Employee Survey ให้เป็นกลยุทธ์ Engagement ที่ได้ผล ต้องเริ่มจากการเข้าใจเชิงลึก → สร้างแผนการลงมือทำ → และทำให้การฟังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร